รีวิว จอง_อี JUNG_E เกาหลีตอนนี้เรียกว่าไม่ใช่แค่ดราม่าหรือซอมบี้ เพราะอย่างที่ทราบกันดีว่าเมื่อ 2 ปีที่แล้ว วงการเกาหลีใต้เริ่มประกาศศักดาด้วยการทุ่มทุนทำหนัง Sci-Fi ที่ฮอลลีวูดยังต้องหนาวๆ ร้อนๆ และในปีนี้ Netflix ก็กลับมากุมบังเหียนวงการหนัง ไซไฟอีกครั้งกับ ‘JUNG_E’ หรือ ‘Jung_E’ หนังไซไฟเกาหลีเรื่องล่าสุดของ Yeon Sang-ho (ยอน ซังโฮ) ผู้กำกับที่เคยโด่งดังจากหนังซอมบี้เกาหลีเรื่อง ‘Train to Busan’ (2016) ). และ ‘Peninsula’ (2020) รวมถึงซีรีส์ Netflix ‘Hellbound’ (2021) เขียนบทและกำกับ และนักแสดงหนุ่ม คังซูยอน (Kang Soo-youn) นักแสดงที่ห่างหายจากวงการภาพยนตร์ไปนับสิบปีก็กลับมาเช่นกัน และเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องสุดท้าย ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตในเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 หลังจากการถ่ายทำจบลงได้ไม่นาน
ภาพยนตร์บอกเล่าเรื่องราวในศตวรรษที่ 22 โลกกำลังถูกทำลายด้วยการเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศและสิ่งแวดล้อมที่รุนแรง มนุษย์ต้องอพยพไปยัง 80 อาณานิคมระหว่างโลกและดวงจันทร์ แต่อาณานิคม 8, 12 และ 13 ได้ประกาศตัวเองว่าเป็นสาธารณรัฐเอเดรียน และสร้างกองทัพหุ่นยนต์เพื่อโจมตีโลกและอาณานิคมอื่น ๆ ทำให้เกิดสงครามกลางเมืองระหว่างกองกำลังพันธมิตรของรัฐบาลและสาธารณรัฐ Adrian Yoon Jung Ee (Kim Hyun-joo) ทหารรับจ้างหญิงฝีมือดีแห่งกองกำลังพันธมิตร Yoon Seo-hyun (Kang Soo-youn) เป็นทหารรับจ้างเพื่อหาเงินรักษาเนื้องอกในปอดของลูกสาว ในวันที่ซอฮยอนเข้ารับการผ่าตัด จองยีได้ทำภารกิจต่อสู้ แต่ล้มเหลวทำให้เธอตกอยู่ในอาการโคม่า Kronoid สถาบันพัฒนา AI ได้ทำข้อตกลงเพื่อคัดลอกข้อมูลจากสมองของ Jung Yi เพื่อพัฒนากองทัพหุ่นยนต์ ส่วนลูกสาวซอฮยอนโตเป็นหัวหน้าทีมวิจัยโครงการนี้ ภายใต้การดูแลของผู้อำนวยการ Kronoid ผู้ยิ่งใหญ่ Sang Hoon (Ryu Kyung-Soo)
แค่อ่านเนื้อเรื่องก็สัมผัสได้เลยว่านี่คือหนังฮอลลีวูดแนวไซไฟสงครามอวกาศ และแน่นอนว่าต้องมีความรู้สึกอยากเห็นการต่อสู้ระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์ มนุษย์กับ AI หรืออย่างน้อยก็ระหว่างอุดมการณ์ของคนตัวเล็กกับนโยบายอันโหดร้ายของหน่วยงานรัฐ เป็นต้น ไปเถอะ หนังมีสาระที่มีคุณค่ามาก คือ การนวดตัวหนัง ไม่ใช่แค่สงครามระหว่างมนุษย์กับหุ่นยนต์เท่านั้น หรือหุ่นยนต์ครองโลกอย่างที่ฮอลลีวูดทำ? แต่มันไปไกลกว่าการพูดถึงจริยธรรมและความเป็นมนุษย์ของ AI และการเก็บรักษาข้อมูลส่วนบุคคล ที่ไม่ใช่แค่ข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตเท่านั้น แต่เป็นข้อมูลในสมองของเราเอง บทตั้งคำถามที่น่าทึ่งมาก ถ้าวันหนึ่งเราเกิดตายขึ้นมาแล้วมีคนมาจูบแล้วขโมยข้อมูลจากสมองเราไปใส่ในหุ่นยนต์ AI เพื่อให้หุ่นยนต์เลียนแบบงานของเรา คำถามคือหุ่นยนต์ตัวนั้นจะถือว่าเป็น ‘เรา’ ด้วยหรือไม่
ไซไฟคอนเซ็ปต์โคตรล้ำ แต่ชอกช้ำด้วยดราม่า รีวิว จอง_อี JUNG_E
รีวิว จอง_อี JUNG_E แล้วเราพึงมีความผูกพันเป็นส่วนหนึ่ง. (หรือญาติของเรา) ที่ฝังอยู่ในหุ่นยนต์ตัวนั้น? ข้อมูลในสมองต้องได้รับการปกป้องในระดับใด? วันหนึ่งมีคนเอาข้อมูลในสมองเราไปสุ่ม เช่น ใส่ชิปหม้อหุงข้าว หรือแม้แต่เอาไปใส่ใน Sex Doll เราจะมีสิทธิ์ปกป้องและหวงแหนในฐานะข้อมูลของคนจริงแค่ไหน? ซึ่งอันนี้เป็นอะไรที่หนังปูมาแรงมาก ถ้าวางโครงเรื่องดีๆ เข้าไป กลายเป็นพล็อตไซไฟล้ำๆ หนึ่งในวิสัยทัศน์ที่เจ๋งที่สุดในยุคนี้มีได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นตลอด 1 ชั่วโมงครึ่งคือหนังไม่ได้พาเราไปทำสงครามหรืออะไรเลย พยายามวางเค้าโครงเรื่องราวของมหากาพย์การต่อสู้ที่ยืดเยื้อยาวนาน แทนที่ธีมของสงครามจะถูกโยนทิ้งไป ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ไซไฟทุนกลางที่มีแอ็คชั่นทั้งต้นและปลาย ใครที่คาดหวังแอ็คชั่นไซไฟสนุกๆ จะต้องผิดหวัง ส่วนงานวิชวลเอฟเฟกต์ก็ถือว่าน่าพอใจ ออกแบบได้ล้ำยุคมาก หลายๆงานเทียบระดับฮอลลีวูดได้เลย แต่ก็ยังมีบางจุดที่แอบไม่เนียน สัดส่วนดูแปลกๆ ไปบ้าง ตามสเกลการผลิตของหนังสตรีมมิ่ง
ก่อนที่หนังจะโฟกัสไปที่ความขัดแย้งทางอุดมการณ์ มนุษยธรรม จริยธรรมของหุ่นยนต์ ผ่านพล็อตเรื่องดราม่าแม่ลูกที่วนเวียนอยู่กับห้องทดลองหุ่นยนต์ AI ดั้งเดิม ซึ่งหนังไม่สามารถจับประเด็นได้อย่างมีน้ำหนักเพียงพอ เหมือนวางเรื่องบางๆแล้วไปขยี้ให้ปวดตับในตอนท้าย จนทำให้โดยรวมแทบจะไม่มีอะไรในหนังที่ดำเนินไปจนจบ และจับประเด็นมาดำเนินเรื่องให้ลุ้นระทึก ลุ้นระทึก ชวนคิด และชวนลุ้น ทั้งแอคชั่น ไซไฟ หรือแม้แต่ดราม่าที่เชี่ยวชาญ ในเกาหลี ทำได้แค่เกือบซึ้ง ไม่แน่ใจว่าบทตั้งใจให้ตัวละครนี้มีตลกโรคจิตหรืออะไร และผู้เขียนเดาว่าส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะบทที่ทำให้เป็นตัวละครนี้ นอกจากจะดูตลกแต่ไม่ตลกแล้ว ยังดูล้นจนดูน่ารำคาญ แถมยังมีอาการป่วยทางจิตแบบไม่มีสาเหตุอีกด้วย รวมๆแล้วตัวละครนี้กลายเป็นตัวละครโง่ๆที่ผิดไปจากธีมของหนังแทนที่จะน่ากลัว สำหรับการแสดงของคุณคังซูยอนนักแสดงอาวุโสต้องถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจแม้ว่าบทบาทจะไม่ได้ช่วยให้เธอโดดเด่นจนจบก็ตาม
จุดสังเกต
สำหรับผู้แต่ง ‘JUNG_E’ เป็นผลงานที่ผู้แต่งรู้สึกผิดหวังกับแนวคิดเป็นอย่างมาก ผ่านการปั้นและเชี่ยวชาญแล้ว นี่จะเป็นภาพยนตร์ไซไฟที่ฉลาดหลักแหลมที่รับชมได้ทั้งแอ็คชั่นสุดเจ๋งและหนึ่งในภาพยนตร์จริยธรรมดิจิทัลที่ล้ำหน้าที่สุดเพื่อเชิดชูอุตสาหกรรมภาพยนตร์เกาหลี แต่หนังไม่สามารถควบคุมวิสัยทัศน์และแนวทางการเล่าเรื่องให้ออกมาหนักแน่นและโดดเด่นได้ ตัวหนังเองเป็นเพียงการเล่าเรื่องที่ตัดประเด็นทั้งหมดไปอย่างน่าเสียดาย รวมถึงตัวละครที่ไม่โดดเด่นแถมบางตัวก็น่ารำคาญเกินไป ทำให้หนังไซไฟเรื่องนี้กลายเป็นเพียงหนังไซไฟที่มีแนวคิดเฉพาะเจาะจง แต่ร่างกายกลับบอบช้ำเหมือนหุ่นยนต์ถูกทุบจนแทบไม่เหลืออะไรให้จดจำและติดใจเลยจริงๆ
- เรื่องราวเริ่มวนเวียนอยู่กับประเด็นแม่ลูก โดยเฉพาะช่วงกลางเรื่องทำให้เรื่องแทบไม่เดินไปไหนและเดินเรื่องได้ช้ามาก ทั้งๆ ที่หนังยาวเพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้น
- ตัวร้ายของเรื่องน่ารำคาญมาก เกินจริง ตลกเกินเหตุ โรคจิตไม่มีเหตุผล รวมๆแล้วกลายเป็นตัวละครบ้าๆ บอๆ หลุดธีมหนังมากกว่าดูน่ากลัว
- ฉากบู๊ก็พอดูได้เฉพาะต้นเรื่องและท้ายเรื่อง
- เนื้อเรื่องของละครเกือบจะลึกซึ้งอยู่แล้ว แต่ดูแปลกๆ เหมือนจะยังไปไม่สุด
- ปมบางอย่างของนางเอกไม่รู้ทำไมรีวิว จอง_อี JUNG_E
- งาน VFX ส่วนใหญ่ไม่ได้แย่ขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่เนียนมากตามสเกลหนังสตรีมมิ่ง
- หาทางออกของเรื่องด้วยพล็อตที่ทำลายนวัตกรรมที่พยายามยัดเยียดเรื่องราวมากมายให้สิ้นซาก
หนังไซไฟจากเกาหลีที่ท่าดีที่เหลว
สำหรับหนังเรื่องนี้ต้องบอกว่าโดยส่วนตัวได้ดูตัวอย่างมาก่อนแล้วค่อนข้างคาดหวังว่าจะได้เห็นแอคชั่นไซไฟสไตล์เกาหลีแบบเต็มๆ เพราะในตัวอย่างแรกมันแสดงให้เราเห็นถึงโลกอนาคตในภาพยนตร์ แถมด้วยพล็อตที่วางเป็นหุ่นยนต์ที่จะมาต่อสู้ในสงครามกลางเมือง เลยคาดหวังว่าจะได้ดูฟอร์มยักษ์ แต่พอไปดูจริง กลับไม่เป็นอย่างนั้น ความรู้สึกของฉันหลังจากดูมันค่อนข้างน่าผิดหวัง เพราะเปิดเรื่องมาได้น่าสนใจมาก แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินต่อไป ภาพยนตร์กลับเปลี่ยนจุดสนใจไปดื้อๆ และอินไปกับดราม่าความสัมพันธ์แม่ลูกมากๆรีวิว จอง_อี JUNG_E
สิ่งที่กวนใจผมที่สุดคือประเด็นสงครามกลางเมืองที่จุดเริ่มต้นของหนังบอกว่ามันดำเนินมาอย่างยาวนานมากเกือบ 50 ปี อาจเป็นเพราะโครงการนี้พัฒนามา 35 ปี และสงครามครั้งนี้มี เริ่มต้นมากว่า 40 ปี ปีจึงไม่คิดว่าจะจบง่ายๆ แต่กลายเป็นว่าหนังกลับจบลงด้วยเรื่องราวสงครามง่ายๆ โดยมีตัวละครประธานเข้ามาบอกว่าการเจรจาเสร็จสิ้นและสั่งยกเลิกโครงการพัฒนาหุ่นยนต์ หลังจากนั้น โฟกัสของหนังก็เปลี่ยนไปเป็นแนวดราม่า และปิดท้ายด้วยประเด็นสุดท้าย ลูกสาวต้องการปลดปล่อยความทรงจำของแม่และหุ่นยนต์ เนื่องจากบริษัทจะใช้ความทรงจำและรูปร่างของ Jung Yi ในการทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเซ็กส์ คุณเห็นไหมว่าเรื่องราวเปิดขึ้นเป็นประเด็นใหญ่ในระดับความอยู่รอดของมนุษยชาติ? แต่ลงเอยด้วยจุดที่เล็กจนน่าขัน สำหรับบทต้องบอกตามตรงว่าไม่ชอบเลยจริงๆ
นอกจากบทแล้ว ส่วนอื่นๆ ก็ยังอยู่ในระดับกลางๆ ไม่ดีจนน่าชื่นชม ด้านงานสร้างและ CG ต้องยอมรับว่าทำได้ดี แต่ซีจียังดูลอยๆ ส่วนนี้ถ้าคนชอบงานเนี๊ยบอาจจะหงุดหงิดได้ แต่โดยส่วนตัวผมไม่ซีเรียสมากก็ถือว่าดีมากแล้ว ต่อมาในด้านการแสดงภาคนี้จัดว่าค่อนข้างธรรมดา คนที่เล่นละครได้ดีที่สุดน่าจะเป็นคิมฮยอนจูที่เล่นหุ่นยนต์จองยี ตัวร้ายส่วนตัว ผู้กำกับซังฮุน (รับบทโดย รยูคยองซู) ค่อนข้างออกแบบมาไม่ดี เขาเป็นตัวร้ายที่ไม่มีความทรงจำใดๆ และนักแสดงไม่สามารถถูกตำหนิสำหรับการแสดงที่ไม่ดีของพวกเขา เพราะจากผลงานที่เคยเห็นมาของเขาก็ไม่เลวเลย แต่พอมาเรื่องนี้เหมือนบทจะไม่ไหวจริงๆ เขาเป็นตัวร้ายที่เวลาโกรธจะไม่เกรงกลัวและมักจะทำตัวงี่เง่ามากกว่าเดิม โดยรวมแล้วเป็นหนังไซไฟที่ไม่เข้าทางเอาเสียเลย โฟกัสผิดจุดหาทางลงไม่เจอ ยังดีที่งานสร้างและฉากแอคชั่นยังทำได้ดี เป็นหนังอีกเรื่องที่ดูได้ไม่มีเบื่อ อย่างไรก็ตาม รีวิวนี้เป็นเพียงความรู้สึกส่วนตัวของผมเท่านั้น ทางที่ดีทุกท่านควรไปพิสูจน์ด้วยตาตนเอง