รีวิว Knock at the Cabin

รีวิว Knock at the Cabin คือภาพยนตร์เรื่องใหม่จากผู้กำกับ M. Night Shyamalan ที่น่าจะคุ้นเคยกับหนังสยองขวัญระดับตำนานอย่าง The Sixth Sense ที่ทำเอาหลายคนเซอร์ไพรส์ ยังมีเรื่อง Sign, Split, Unbreakable ที่เขากำกับได้ดีมาก ภาพยนตร์เรื่องใหม่ของเขาประกอบด้วยหนังระทึกขวัญลึกลับ

เนื้อเรื่องของหนังเป็นเรื่องเกี่ยวกับชายแปลกหน้าสี่คนที่บุกเข้าไปในบ้านของครอบครัวหนึ่งและบอกพวกเขาว่าหนึ่งในนั้นจะต้องถูกสังเวยเพื่อหยุดวันโลกาวินาศที่กำลังจะเกิดขึ้น ฟังดูเป็นโครงเรื่องที่น่าสนใจมาก แต่หนังค่อยๆ ดึงผู้ชมเข้าสู่ความลึกลับ Sheep’s Clue เปิดเผยน้ำหนักและเหตุผลจนผู้ชมคิดตาม โฟกัสและมีส่วนร่วม แถมภาพยนตร์เรื่องนี้ยังไม่ทิ้งสไตล์ของ M. Knight บรรยากาศของทั้งความน่ากลัวและความหวาดผวาในความไม่เชื่อและบทสรุปที่ทำเอาผู้ชมขาดห้วงเวลาและทิ้งให้ผู้ชมต้องเหลียวหลังกลับควรที่หลายคนได้เห็นและตะโกนพร้อมๆ กัน

เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน เป็นเจ้าพ่อแห่งวงการภาพยนตร์ทวิสต์ที่สมบูรณ์แบบ ถือกำเนิดในยุค 2000 กับ The Sixth Sense และออกฉายภาพยนตร์ต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่าสองทศวรรษ เป็นหนังระทึกขวัญที่ดัดแปลงจากนวนิยายปี 2018 ของ Paul G. Tremblay เรื่อง The Cabin at the End of the World เมื่อสาวน้อย Wen Lin (Kristen Cuy) ออกไปจับตั๊กแตนในขวดโหล Leonard (Dave Bautista) ก็เป็นเพื่อนกับยักษ์ แก๊งนี้รวมถึงเรดมันด์ (รูเพิร์ต กรินต์) นักโทษลามก ซาบริน่า (นิกกี้ แอมกา-บาร์ด) และพยาบาลสาวอาร์เดียน (แอ็บบี้ ควินน์) เบ็น อัลดริดจ์) และเอริค (โจนาธาน กรอฟฟ์) ถูกบังคับให้สังเวยชีวิต

สิ่งที่ชยามาลานทำได้จริง ๆ คือศิลปะการเล่าเรื่องในพื้นที่คับแคบ เรียงปม ช่วยตัวละครหลักที่คนดูอยากให้ช่วย มีปมในอดีต ที่ช่วยอธิบายพฤติกรรมของตัวละครโดยเฉพาะการพิจารณาเรื่องนี้คือ ภาพยนตร์เรื่องแรกของชยามาลานที่ตัวละครหลักเป็นเกย์ การเมืองดีพอๆกับงานเดิม

จงระทึกแต่โดยดี รีวิว Knock at the Cabin

รีวิว Knock at the Cabin แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องหลังนิยายที่ต้องเล่าเรื่อง นวนิยายที่ได้รับแรงบันดาลใจจากคัมภีร์ไบเบิลโดยเฉพาะและดัดแปลงในลักษณะ “ภาพที่ชัดเจน” หากคุณคาดหวังว่าจะมี , คุณต้องยอมรับว่ามันอาจไม่เป็นความจริงและในขณะที่เราเพลิดเพลินไปกับความโหดร้ายของ…ภาพยนตร์ คุณสามารถสัมผัสได้ถึงความเย่อหยิ่งของตัวละครในภาพยนตร์เรื่องนี้ ในขณะที่เราเพลิดเพลินกับอดีตของแอนดรูว์และเอริคที่เล่าถึงต้นกำเนิดของความสัมพันธ์ของพวกเขากับการอุปถัมภ์ของเหวินหลิน

เช่นเดียวกับแอนดรูว์และเอริคที่หนังพยายามนำเสนออุปสรรคของการใช้ชีวิตคู่เกย์ทั้งจากครอบครัวและจากสังคมเพื่อปูทางไปสู่เหตุและผลที่ทำให้หนังต้องจบลงแบบนี้ ยกเว้น บทนำที่ จุดเริ่มต้นของเรื่องราวและวิธีที่พวกเขาพบกันด้วยวิธีแปลกๆ เช่นนี้ แลกกับการที่หนังไม่ได้ไขปริศนาหลายอย่างที่ผู้ชมอยากรู้โดยเฉพาะผู้บุกรุกทั้ง 4 คน หนังไม่ได้อธิบายเหตุผลอย่างเพียงพอ พวกเขาถูกเลือกสำหรับภารกิจที่น่าสะเทือนใจ ข้อความต่าง ๆ ดูเหมือนจะถูกเพิกเฉยเสียเป็นส่วนใหญ่

ถึงกระนั้น วิชวลโดย Jarin Blaschke และ Lowell A. Meyer ก็ช่วยภาพยนตร์เรื่องนี้ ทั้งในแง่ของการออกแบบ มุมกล้องที่เจ๋ง และภาพจริง เป็นขวดที่ต้องใช้ทักษะอย่างมากในการถ่ายทำ และที่สำคัญ นี่เป็นภาพยนตร์ไม่กี่เรื่องที่ถ่ายทำด้วยฟิล์ม 35 มม. สร้างแสงและโทนสีที่เป็นเอกลักษณ์พร้อมความงามอันน่าทึ่ง หากเป็นไปได้ เราขอแนะนำให้หาโรงภาพยนตร์ที่สามารถ ฉายภาพระบบเลเซอร์ หนังเรื่องนี้จับภาพป่าได้อย่างสวยงาม

Knock at the Cabin เป็นหนังที่ผู้ชมต้องคิดถึงตลอดเวลา อาจไม่ต้องตีความหรือวิเคราะห์ลึกหลายชั้น แต่เราต้องคิดตาม อะไรจริง/อะไรไม่จริง/เชื่ออะไร/ไม่เชื่ออะไร ฯลฯ หรือมีคำถามอยู่ตลอดเวลา เช่น ทำไมฆ่าคนคนเดียวแล้วหยุดหายนะ? คล้ายกับในชีวิตจริงที่คนเรามักพบเจอกับความเชื่อหรือไม่เชื่อกับสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเรื่องลัทธิหรือศาสนา รวมถึงความรักและการเสียสละ เช่น ความรักของเพศเดียวกัน หรือครอบครัวอุปถัมภ์ จริงเท็จแค่ไหน? ซึ่งมักจะซ้อนทับกับการตัดสินหรืออคติ

ในเรื่องนี้ เอ็ม. ไนท์ ชยามาลานไม่ได้หักเหลี่ยมเฉือนคมเหมือนกับหนังหลายๆ เรื่องที่ผ่านมาของเขา แต่ให้เปลี่ยนเนื้อเรื่องจากเดิมเสียมากกว่า ประมาณว่า ตั้งแต่องก์ที่ 2 ของหนังเป็นต้นไป เขาได้ปรับเนื้อเรื่องให้ดาร์คน้อยกว่าในนิยาย พยายามสื่อว่าผู้มาเยือนทั้งสี่เป็นเหมือนสี่ผู้ขี่ม้าแห่งอเวจี และทั้งสี่เป็นเหมือนตัวแทนที่คอยเตือนใจมนุษย์ (ส่วนตัว ยังไม่ได้อ่านเล่มเต็ม แต่จากที่อ่าน สรุปรวมเล่ม เราชอบนิทานมากกว่าหนังสือค่ะ เป็นปลายเปิด ซึ่งเป็นเรื่องของคนต่างกัน ความชอบต่างกัน , ต่างมุมมอง)

จุดเด่น

และในช่วงท้ายของการแสดง ต้องบอกว่า การแสดงโดยรวมของภาพยนตร์เรื่องนี้เข้มข้นมาก โดยเฉพาะ Dave Bautista ที่ถ่ายทอดอารมณ์อกหักออกมาได้อย่างแข็งแกร่งและน่าเกรงขาม มีเสน่ห์สุดๆ …ว่าเป็นภาพยนตร์เรื่องแรกของเธอ แต่สิ่งที่ชาวพอตเตอร์เฮดควรภาคภูมิใจก็คือการที่รูเพิร์ต กรินท์ (Rupert Grint) หรือรอน วีสลีย์กลับมาแสดงบนจอใหญ่อีกครั้ง ควินน์มีการตีความที่น่าสนใจในฐานะสมาชิกหญิงสองคนของ Invaders

  • ชยามาลานยังคงสร้างภาพยนตร์ที่น่าตื่นเต้นอย่างต่อเนื่อง ลุ้นระทึกตลอดทั้งเรื่อง
  • การแสดงของ Dave Bautista, Rupert Grint และ Kristen Chui ทำให้ผู้ชมประทับใจตลอดทั้งเรื่อง
  • เป็นหนังที่น่าดูมาก อีกทั้งภาพยนตร์ที่ใช้ฟิล์ม 35 มม. ยังมีน้อย เราจึงขอแนะนำโรงภาพยนตร์ที่ฉายระบบเลเซอร์

มีความเสียใจอยู่บ้างที่ความสัมพันธ์ของแอนดรูว์และเอริคไม่ได้ดำเนินไปในเรื่องราวจริง ๆ หรือการรับบทเป็นพ่อที่เป็น LGBTQ+ จะทำให้เขามีเวลาอยู่หน้าจอมากขึ้น อย่างที่คุณเห็น เบ็น อัลดริดจ์และโจนาธาน กรอฟฟ์ การแสดงไม่ขี้เหร่เลย พวกเขาแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากในการรักษาความสัมพันธ์ที่โรแมนติกซึ่งไม่เป็นที่ยอมรับของสังคม และในช่วงเวลาสั้นๆรีวิว Knock at the Cabin

Knock at the Cabin หรือชื่อไทย “เคาะเสียงกระท่อม” หนังฟอร์มยักษ์ที่กำลังเป็นกระแส ซึ่งสาเหตุหลักที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับความสนใจคงหนีไม่พ้นชื่อของผู้กำกับอย่าง เอ็ม. ไนท์ ชยามาลาน ชายผู้เคยปล่อยตำนานพลิกล็อกมาแล้วใน The Sixth Sense (1999) รวมถึงผลงานที่แฟนๆ แฟรนไชส์ซูเปอร์ฮีโร่ที่แหวกแนวในภาพยนตร์อย่าง Unbreakable (2000), Split (2016) และ Glass (2019) ใครที่เคยติดตามผลงานของเขามาก่อนจะรู้ว่าเขาเป็นผู้กำกับด้วย หนึ่งเดียวในโลกภาพยนตร์ที่มีสไตล์การกำกับที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มีฐานแฟนๆ เป็นของตัวเอง ดังนั้น การกลับมาของเขาใน Knock at the Cabin ครั้งนี้จึงได้รับความสนใจจากผู้ชมทั่วโลกรีวิว Knock at the Cabin

Knock at the Cabin เป็นภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากนวนิยายปี 2018 ของนักเขียน Paul G. Tremblay เรื่อง The Cabin at the End of the World เกี่ยวกับครอบครัวที่มีสมาชิกสามคน รวมถึงพ่อสองคน เอริค (โจนาธาน กรอฟฟ์), แอนดรูว์ (เบน อัลดริดจ์) และลูกสาวบุญธรรมเหวิน (คริสเตน ชุย) ไปเที่ยวพักร้อนที่กระท่อมห่างไกล แต่จู่ๆ ก็มีคนแปลกหน้าเข้ามา สี่แถวหน้าได้แก่ Leonard (Dave Bautista), Redmond (Rupert Grint), Adriane (Abby Quinn) และ Sabrina (Nikki Amuka-Bird) บุกเข้าไปในกระท่อมและจับทั้งสามครอบครัวเป็นตัวประกัน พร้อมกับข้อเสนอสุดแปลกให้กับครอบครัวนี้ โดยทั้ง 3 คนเลือกที่จะสังเวยคนในครอบครัว 1 คนและต้องฆ่ากันเองเพื่อหยุดวันสิ้นโลก ซึ่งคนแปลกหน้าทั้ง 4 อ้างว่าได้เห็นภาพนิมิตว่าถ้าคนในครอบครัวนี้ทำ ไม่เลือกสังเวยคนใดคนหนึ่ง โลกทั้งโลกจะประสบหายนะครั้งใหญ่จนมนุษย์สูญพันธุ์ สุดท้ายแล้วเรื่องราวสุดพิลึกพิลั่นนี้จะเป็นเรื่องจริงหรือแค่เรื่องลวง?

เรื่องนี้ต้องบอกตรงๆว่าตัดสินใจซื้อตั๋วดูโดยไม่รู้ตัวและไม่ได้อ่านพล็อตเรื่องก่อน เมื่อรู้ว่าเป็นผลงานของผู้กำกับ M. Night Shyamalan ฉันจึงตัดสินใจไปดูทันที ซึ่งหลังจากดูจนจบ โดยส่วนตัวแล้วมีทั้งชอบและไม่ชอบปะปนกันไป ที่ไม่ชอบและเสียดายคือบทสรุปในตอนท้ายที่มันตัดจบได้ง่ายดายมาก และทำให้เสน่ห์ของหนังหายไปค่อนข้างเยอะ รวมถึงการใช้เวลามากเกินไปกับหนังระทึกขวัญที่มิติของตัวละครในเรื่องดูปวกเปียก เพราะพล็อตหลักนั้นน่าสนใจมาก เพราะมันเป็นสิ่งที่อยู่นอกโลก ลองคิดดูว่าจู่ๆก็มีคนแปลกหน้ามามัดเราไว้และบอกให้เราไปฆ่าครอบครัวเราเอง เมื่อเราไม่ติดตามพวกเขา พวกเขาฆ่ากันเองและบอกว่าเป็นการปลดปล่อยหายนะ ซึ่งเป็นหายนะที่แท้จริง แต่ประเด็นคือ จริงหรือหลอก?

ซึ่งหนังก็ดำเนินไปตามที่ผมต้องการด้วยการหยิบยกประเด็นนี้มาเล่นกับคนดู ในเรื่องมีตัวละครหลักเพียงสองคนที่ต้องตัดสินใจ: สามี Eric (แสดงโดย Jonathan Groff) และ Andrew (แสดงโดย Ben Aldridge) เพียงแต่ว่าทั้งเอริคและแอนดรูว์มีความเชื่อที่แตกต่างกันมาก มิติของตัวละครสองตัวนี้ถือว่าทำได้ดีเยี่ยม หนังเปิดเรื่องมาโดยแสดงให้เห็นว่าพวกเขาเป็นคู่เกย์ ซึ่งพวกเขาถูกกดดันจากสังคมและครอบครัว หนังแสดงให้เห็นว่าเอริคมีจิตใจอ่อนโยนและบอบช้ำจากการที่ครอบครัวปฏิเสธว่าเขาเป็นใคร แอนดรูว์ก็บอบช้ำไม่แพ้กันแต่ต้องทำตัวแข็งกร้าวและเจ้าอารมณ์เพียงเพื่อปกปิดความเปราะบางของตน มันทำให้ตัวเลือกนี้สนุกยิ่งขึ้นเพราะเอริคเป็นคนใจดีที่คิดว่าเขาจะเสียสละตัวเองเพื่อให้ทุกคนปลอดภัย ทางด้านของแอนดรู เขารักเอริคและลูกๆ ของเขามาก และดื้อรั้น เขาจึงไม่เชื่อว่ามันเป็นเรื่องจริงและคอยตั้งคำถามอยู่เสมอ ซึ่งตนบอกเสมอว่าจะไม่เลือกเสียสละใคร แม้โลกจะแตก จริง ๆ แล้วอยากให้ทุกคนปลอดภัย การที่ทั้งคู่เลือกทางเดินต่างกันแบบนี้เหมือนเป็นการดึงคนดูให้แตกแยกว่าคุณอยู่ฝ่ายไหน และแน่นอนว่าต้องมีสักทางที่เป็นทางเลือกที่เหมาะสม

บทความที่เกี่ยวข้อง